เมื่อวันสุดท้ายของการสอบปลายภาคเรียนที่ 2 ของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 ซึ่งเป็นวันที่ได้ใช้ชื่อศิษย์ปัจจุบันโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยเป็นวันสุดท้าย นักเรียนสวนกุหลาบเรียกวันนี้ว่า "วันจากเหย้า" เมื่อการสอบเสร็จสิ้น ก็คือเวลาเริ่มพิธีจากเหย้า จากถิ่นที่พวกผมรักและหวงแหน ถิ่นที่เราได้อาศัยอยู่ร่วมกัน ถิ่นที่สร้างเราให้เป็นอย่างทุกวันนี้ พ้นจากวันนี้ไป จากศิษย์ปัจจุบัน ก็จะกลายเป็นศิษย์เก่า งานก็ได้ดำเนินมาเรื่อยๆจนถึงลำดับสุดท้าย เวลานั้น ผมและเพื่อนๆในรุ่นของผม ต่างน้ำตานองหน้า วันนั้นไม่มีใครอายที่จะเสียน้ำตาให้กับการที่จะพรากจากโรงเรียนอันเป็นที่รักของพวกเรา ไม่มีใครคิดว่าเป็นผู้ชายอกสามศอก ไม่ควรจะเสียน้ำตา ต่างคนต่างร้องไห้ แล้วสวมกอดกันและกัน สวมกอดเพื่อน ที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต และแล้วเพลงที่เด็กสวนกุหลาบที่กำลังจะจบไม่อิยากได้นินก็ดังขึ้น "ชมพู-ฟ้าอาลัย" (เป็นเพลงที่มีความหมายเรียกน้ำตาได้เป็นอย่างดี)
ยามค่ำย่ำสนธยา สิ้นแสงรวีส่องหล้า โอ้ถึงเวลาแล้วสิเรา
จิตใจแสนเศร้า ต้องพรากจากถิ่นเรา ถิ่นที่เรารู้ดี
ยังแว่วยินเสียงระฆัง คงครางหลงเหลือก้องดัง นานนานครั้งเตือนฤดี
ภาพลวงหรือนี่ ติดแน่นชีวี ไม่มีที่จะหายไป
* จำใจจำลา จำจากพรากมาถิ่นชมพูฟ้าแสนอาลัย
ไม่ อยากคลาดคลา แต่วันเวลาผลักไส จำจากไปด้วยน้ำตา
วันเคลื่อนเดือน คล้อยลอยไป ยิ่งคิดแสนว้าวุ่นใจ เราต้องจำไกลไม่หวนมา
ถิ่นรักของข้า โอ้แดนชมพูฟ้า ชั่วชีวิตข้าไม่ลืม
เท่ง สติเฟื่อง ผู้แต่ง
สิ้นสุดเพลงก็ได้ก้มลงกราบตึกยาว ตึกที่อยู่คู่กับโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยมากว่าร้อยปี
วันนี้จบลง...
ผมก็กลายเป็นศิษย์เก่าเต็มตัว ถึงเวลาที่ผมจะต้องตอบแทนบุญคุณโรงเรียนที่ให้อะไรกับผมหลายๆอย่าง สอนรุ่นน้องให้รักษาชื่อเสียงของโรงเรียนไว้ ตราบนานเท่านาน
อักษรส.ก.บนอกเสื้อ ห้าปีก็ฝังเนื้อที่อกขวา
สี่สิบปีจะตรึงเป็นเครื่องตรา ร้อยปีจะติดหราอกวิญญาณ
credit สวนกุหลาบวิทยาลัยรุ่น 84